สนับสนุนบทความดีๆ โดย @ma5bot มหาบอท ซอฟแวร์อัจฉริยะ ช่วยเทรดคริปโต 24 ชม.
MA5BOT มหาบอท ใช้ชีวิตให้มีกำไร
เป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนทุกคนให้ความใส่ใจเรื่องความเสี่ยงเพราะทราบดีว่าการพลาดเพียงครั้งเดียวนั้นอาจทำให้ชีวิตของนักลงทุนจบลงแบบไม่สวยงามนัก แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่าความเสี่ยงในการลงทุนไม่ได้มีแค่ด้านเดียว เพราะการลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม จะมีความเสี่ยงอยู่ทั้งหมด 2 ส่วน คือความเสี่ยงก่อนลงทุน และความเสี่ยงหลังลงทุน Risk Management

ความเสี่ยงหลังลงทุน Risk Premium คือความเสี่ยงด้านราคาของสินทรัพย์ที่เราลงทุน เช่นเมื่อเราเข้าซื้อไปแล้วราคาปรับตัวลดลง ทำให้เกิดการขาดทุนสะสม ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนจะไม่อธิบายเยอะมากเพราะเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านจะเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว
แนวทางหนึ่งที่นักลงทุนหลายท่านเลือกใช้ในการบริหารความเสี่ยงหลังลงทุน คือการสำรองเงินไว้อีกหลายส่วน หรือการเข้าซื้อแบบแบ่งเลเยอร์ ไม่เข้าซื้อในคราวเดียวกันทั้งหมด (ไม่ All In) นั้นเอง
เช่น ปัจจุบันราคาสินทรัพย์ที่เราสนใจนั้นมีราคาอยู่ที่ 10 บาท นักลงทุนมองว่าราคาจะไปถึง 20 บาท อาจจะมีการแบ่งเข้าซื้อ 2-3 ครั้ง ที่ราคา 10, 5, 2.5 ตามลำดับเพื่อให้ความเสี่ยงรวมของพอร์ตลดลง และได้ของในต้นทุนที่ดีขึ้น ซึ่งการจัดการความเสี่ยงในรูปแบบสำรองเงินไว้เผื่อราคาลงหรือไม่เป็นอย่างที่เราคิด จะทำให้เกิดความเสี่ยงก่อนลงทุนตามมานั้นเอง
ความเสี่ยงก่อนลงทุน Risk Free
คือความเสี่ยงจากการที่เงินทุนของเราไม่ได้ถูกใช้งาน และอาจลดมูลค่าลงไปเรื่อยๆ เช่นเงินเฟ้อที่คอยลดกำลังซื้อของนักลงทุนไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่ถือเงินสดไว้ หรืออาจเป็นการเสียโอกาส ที่จะได้ซื้อสินทรัพย์ที่ดี ที่กำลังปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง และสร้างกำไรก้อนโต
ตรงจุดนี้ก็จะมีความย้อนแย้งกันอยู่เล็กน้อยเกี่ยวกับการบริหารจัดการความเสี่ยงเพราะว่า หากนักลงทุนอย่างเราไม่สำรองเงินสดเผื่อไว้ ก็อาจทำให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่จากการลงทุนที่ผิดพลาดได้ แต่การเหลือเงินสดไว้เยอะเกินไปก็ทำให้พอร์ตไม่โตเช่นเดียวกัน
นักลงทุนมือใหม่มักไม่เข้าใจ เรื่องของความเสี่ยงก่อนลงทุนว่าสร้างผลกระทบได้ร้ายแรงแค่ไหน และการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินในส่วนนี้ช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเราเติบโตได้มากแค่ไหน

ตัวอย่าง
คุณมีเงินทุน 1,000,000 บาท และสนใจที่จะลงทุนในสินทรัพย์ A ที่ให้ผลตอบแทน 15% ต่อปี แต่ด้วยความที่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะ หรือราคาที่เหมาะสม คุณจึงแบ่งเงินลงทุนก้อนแรกไปลงทุนจำนวน 200,000 บาท และสำรองเงินไว้ซื้อที่ราคาต่ำลงมาอีก 800,000
สินทรัพย์ A เติบโตอย่างที่คาดทำผลตอบแทนได้ 15% จากเงินทุน 200,000 บาท เท่ากับกำไร 30,000 บาท แต่เมื่อนับจากเงินทุนทั้งหมดที่เตรียมไว้เท่ากับได้ผลตอบแทนเพียงแค่ 3% ต่อปีเพียงเท่านั้นเอง
หากคุณสามารถจัดการเงินทุนที่เหลืออีก 800,000 ให้มีผลกำไรเพียง 3% ต่อปี รวมกับเงินที่ลงทุนในสินทรัพย์ A ตามตัวอย่างแรกเท่ากับว่าเราสามารถเพิ่มผลตอบแทนรวมจาก 3% เป็น 5.4% ได้เลยโดยที่ความเสี่ยงโดยรวมนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย (กำไรเพิ่มขึ้นเกือบ 200%)
อ่านมาถึงตรงนี้ผู้เขียนคาดว่าทุกท่านจะเริ่มให้สนใจกับการบริหารความเสี่ยงก่อนซื้อมากขึ้น และเกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่ามีวิธีการไหนบ้างในโลกของ cryptocurrency ที่จะสามารถบริหารจัดการเงินสดที่สำรองไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผมจะมาแชร์ไอเดียตรงนี้ให้อ่านในช่วงถัดไป
วิธีจัดการกับความเสี่ยงก่อนลงทุน
ก่อนที่ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับวิธีการจัดการเงินสดสำรองให้มีกำไร อยากเน้นย้ำเรื่อง “Key” หรือหัวใจสำคัญที่คุณห้ามลืมเด็ดขาดนั้นคือ หนึ่งการกระทำในส่วนนี้ เน้นเพื่อชดเชยค่าเสียโอกาสจากการไม่ได้ลงทุน และต้องมีสภาพคล่องที่สูงมากเพื่อดึงมาใช้ได้ตลอดเวลา ดังนั้น อย่ายึดติดกับสิ่งที่ได้กำไรเยอะ เพราะคุณอาจโดนหลอกจากการเห็นกำไรบนส่วนนี้เข้าไปหาความเสี่ยงที่
สองผมจะแนะนำในส่วนที่สามารถทำได้ในโลกของ cryptocurrency เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันยังมีความเสี่ยงในเรื่องของ Counter Party Risk (ความเสี่ยงจากกระดานเทรด) อยู่มาก แต่ทุกท่านก็มีความเสียงในส่วนนี้อยู่ตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว
ขอบคุณบทความดีๆจากเพจ Meawbin investor
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ
สนใจสอบถามรายละเอียดการใช้ MA5BOT
ติดต่อ LINE OA: @ma5bot
LINE OA: https://lin.ee/0OinA7X
ติดตามข้อมูลอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับ Crypto ในทุกช่องทางและเข้าร่วมกลุ่มใน Ma5bot
ได้ที่Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/ma5bot
Facebook Group: https://www.facebook.com/groups/267012221875488
Youtube Channel: https://www.youtube.com/channel/UCA2RjvOroJm98_3cUWJGVkg
#ma5traderteam #MA5BOT #มหาบอท #ma5community #cryptocurrency #robot #MA5 #tradefuture #rebalance
