สนับสนุนบทความดีๆ โดย @ma5bot มหาบอท ซอฟแวร์อัจฉริยะ ช่วยเทรดคริปโต 24 ชม.
MA5BOT มหาบอท ใช้ชีวิตให้มีกำไร
ถ้าเราเริ่มต้นลงทุนและขาดทุน จะต้องหาผลตอบแทนให้ได้กี่เปอร์เซ็นต์เพื่อให้กลับมาเท่าทุน สมมติลงทุนไป 100 บาท ขาดทุน 10% เหลือเงินอยู่ 90 บาท จะทำให้เงิน 90 บาท กลับไปที่ 100 บาท เราต้องได้ผลตอบแทน 11% ไม่ใช่แค่ 10% แต่ถ้าเรายังปล่อยให้ขาดทุนไปเรื่อยๆ ลึกไปถึง 50% เราต้องทำผลตอบแทนให้ได้ถึง 100% หรือ 1 เท่า เงินทุนจึงจะกลับมาเท่าเดิม ในการกำหนดจุดหยุดขาดทุน หรือที่เรียกว่าจุด Stop Loss นั้น มีหลากหลายวิธี วันนี้เรามี 5 วิธีตั้งจุด Stop Loss มาฝาก

ดังนั้น เราจึงต้องหยุดขาดทุนให้เป็น และคิดไว้เสมอว่าการลงทุนในหุ้นเปรียบเหมือนการทำธุรกิจ ผลขาดทุน คือ ต้นทุนที่ต้องจ่าย ซึ่งวิธีที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ คือ ทำให้ต้นทุนเราต่ำที่สุด “อย่ากลัวที่จะขาดทุน แต่จงกลัวที่จะขาดทุนหนัก”
1.Fixed Stop
เป็นการกำหนดจุด Stop Loss X% จากราคาซื้อ เช่น กำหนดไว้ว่าหากราคาหุ้นลดลง 10% จาก 100 บาท เหลือ 90 บาท จะขายทันที ซึ่งเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวเป็นค่าที่ไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้
ข้อดี คือ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้ ไม่จำเป็นต้องดูกราฟหรืออะไรเลย แต่ข้อเสีย คือ หุ้นแต่ละตัวมีเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลง และเปอร์เซ็นต์ความผันผวนที่ต่างกันออกไป เช่น หุ้น XYZ มีความผันผวนอยู่ที่ 15% การตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 10% อาจทำให้ต้องตัดขาดทุนโดยไม่จำเป็น
2.Trailing Stop
เป็นการกำหนดจุด Stop Loss ไว้ที่ X% จากราคาสูงสุด ซึ่งอาจทำให้จุด Stop Loss เลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ และอาจสูงกว่าราคาต้นทุนที่ซื้อหุ้นนั้นมา ซึ่งจะช่วยปกป้องกำไรได้บางส่วน เช่น ถ้าซื้อหุ้นมา 100 บาท แต่ราคาค่อยๆ ปรับขึ้นไปเป็น 150 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุด หากเรากำหนด Stop Loss ไว้ที่ 10% จาก 150 บาท ก็คือ 15 บาท จากนั้นเอา 150 บาท ลบด้วย 15 บาท จะเหลือ 135 บาท ดังนั้น ถ้าหากราคาหุ้นลงมาที่ 135 บาท จะขาย จะไม่ปล่อยให้ราคาหุ้นลงไปถึง 90 บาท แล้วค่อยขาย ซึ่งไม่มีกำไร
3.Indicator Stop
เป็นการกำหนดจุด Stop Loss ที่อ้างอิงจาก Technical Indicator ส่งผลให้ Stop Loss แต่ละครั้งจะมี X% ของผลขาดทุนที่ต่างกัน เช่น เมื่อราคาต่ำกว่าเส้น Moving Average 10 วัน แล้วไม่เด้งกลับ จะขายทันที หรือจะใช้เส้น 50 วัน 200 วัน รวมถึงใช้ RSI เป็นตัวกำหนดก็ได้ แล้วแต่ความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน
4.Chart Stop
เป็นการตั้ง Stop Loss ตามสิ่งที่กราฟบอก โดยจะทำการวิเคราะห์ Chart Pattern เพื่อดูจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดเดิม จากนั้นจึงนำมาหาแนวรับและกำหนดจุด Stop Loss เป็น X% จากแนวรับนั้น หากราคาหลุดแนวรับเมื่อไรก็ Stop Loss ได้ทันที วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้ด้าน Technical ประมาณหนึ่ง
ข้อควรระวัง คือ จุด Stop Loss ของวิธีการนี้จะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและราคาของหุ้นแต่ละตัว ทำให้บางครั้งเกิดสัญญาณหลอกได้
5.Time Stop
เป็นการกำหนดจุด Stop Loss จากระยะเวลาที่ต้องการถือหุ้น ถ้าเกินระยะเวลาดังกล่าวจะขายหุ้นตัวนั้นทันที เช่น ซื้อหุ้นตัวหนึ่ง เพราะคิดว่าผลประกอบการน่าจะดี และวันที่ประกาศผลประกอบการก็ออกมาดี แต่ราคาหุ้นไม่ขึ้น ก็ควรจะขาย เพราะสิ่งที่คิดได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ราคาหุ้นกลับไม่สะท้อนตาม หรือคนที่มีกลยุทธ์แบบ Technical ถ้าราคา Break ที่ High เดิม ปกติหุ้นควรจะวิ่ง แต่หุ้นตัวนี้ไม่วิ่ง หากในระยะเวลา 5 – 10 วัน ถ้าหุ้นยังไม่วิ่งก็ควรขายและนำเงินไปลงทุนหุ้นตัวอื่นต่อ
วิธีนี้จะเหมาะกับการเล่นระยะสั้น หรือแบบ Day Trade ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ค่อนข้างแน่นอน
การตั้ง Stop Loss ทั้ง 5 วิธีนี้ สามารถนำมาใช้ประกอบกันได้ แต่ละคนต้องค้นหาด้วยตัวเองว่าเราชอบหรือถนัดใช้วิธีใดมากที่สุด สิ่งสำคัญ คือ ทำความเข้าใจและเลือกใช้วิธีการ Stop Loss อย่างรอบคอบ เพราะแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน ควรศึกษาอย่างละเอียดและควรวางแผนการลงทุนไว้ล่วงหน้า
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ
สนใจสอบถามรายละเอียดการใช้ MA5BOT
ติดต่อ LINE OA: @ma5bot
LINE OA: https://lin.ee/0OinA7X
ติดตามข้อมูลอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับ Crypto ในทุกช่องทางและเข้าร่วมกลุ่มใน Ma5bot
ได้ที่Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/ma5bot
Facebook Group: https://www.facebook.com/groups/267012221875488
Youtube Channel: https://www.youtube.com/channel/UCA2RjvOroJm98_3cUWJGVkg
#ma5traderteam #MA5BOT #มหาบอท #ma5community #cryptocurrency #robot #MA5 #tradefuture #rebalance
